เที่ยวแคนาดา: เปิดตำนาน 20 ที่สุดแห่งมนต์สะกด ตั้งแต่ขุนเขาร็อกกี้จรดชายฝั่งแอตแลนติก

เที่ยวแคนาดา: เปิดตำนาน 20 ที่สุดแห่งมนต์สะกด ตั้งแต่ขุนเขาร็อกกี้จรดชายฝั่งแอตแลนติก

หากคุณกำลังวางแผน เที่ยวแคนาดา ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและมหานครที่มีชีวิตชีวา บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาคุณไปไกลกว่าแค่การชมวิวทิวทัศน์ เราจะพาทุกท่านดำดิ่งสู่ “มนต์สะกดแห่งแคนาดา” ค้นพบเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และตำนานที่ซ่อนอยู่ใน 20 สถานที่มหัศจรรย์ทั่วประเทศ เตรียมเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกับเราได้เลย!

การ เที่ยวแคนาดา ไม่ใช่แค่การไปเยือนสถานที่สวยงาม แต่คือการเดินทางผ่านกาลเวลา จากเรื่องเล่าของชนเผ่าพื้นเมือง สู่ยุคตื่นทองอันรุ่งโรจน์ และโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ ทุกสถานที่ที่เราจะพาไปเยือนล้วนมีจิตวิญญาณและเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์รอให้คุณไปสัมผัส

มนต์สะกดแห่งเทือกเขาร็อกกี้ (The Magic of the Rockies)

1. อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park), รัฐแอลเบอร์ตา

อุทยานแห่งชาติแบมฟ์

เริ่มต้นการเดินทาง เที่ยวแคนาดา ณ อุทยานแห่งชาติแห่งแรกและมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ที่นี่คือบ้านของชนเผ่า Stoney Nakoda มานับพันปี พวกเขาเรียกขุนเขาแห่งนี้ว่า “ดินแดนแห่งน้ำทิพย์” เรื่องราวของแบมฟ์ในยุคใหม่เริ่มต้นขึ้นในปี 1883 เมื่อคนงานการรถไฟแปซิฟิกของแคนาดาได้ค้นพบบ่อน้ำพุร้อนโดยบังเอิญ ณ สถานที่ที่ปัจจุบันคือ Cave and Basin National Historic Site การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่นำไปสู่การก่อตั้งอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของแคนาดา แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของการท่องเที่ยวในเทือกเขาร็อกกี้อีกด้วย โรงแรมหรูสไตล์ปราสาทอย่าง Fairmont Banff Springs ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับนักเดินทางผู้มั่งคั่งที่เดินทางมากับรถไฟ กลายเป็น “ปราสาทในหุบเขา” ที่ยังคงความสง่างามมาจนถึงทุกวันนี้

แน่นอนว่าไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ ทะเลสาบ Louise ผืนน้ำสีเทอร์ควอยซ์ที่สะท้อนเงาของธารน้ำแข็งวิกตอเรียอย่างสมบูรณ์แบบ และ ทะเลสาบ Moraine ที่ชนเผ่าพื้นเมืองเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พำนักของวิญญาณแห่งขุนเขา การได้พายเรือแคนูในทะเลสาบเหล่านี้ หรือเดินป่าไปตามเส้นทางที่โอบล้อมด้วยยอดเขาสิบยอด (Valley of the Ten Peaks) คือประสบการณ์ที่จะทำให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดดินแดนแห่งนี้จึงเป็นที่รักของคนทั่วโลก


2. อุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park), รัฐแอลเบอร์ตา

ใหญ่กว่าและคงความดิบเถื่อนของธรรมชาติไว้มากกว่าแบมฟ์ แจสเปอร์เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ที่สำคัญในศตวรรษที่ 19 ชื่อของอุทยานตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Jasper Hawes ผู้ดูแลสถานีการค้าในยุคนั้น ที่นี่เป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบ Maligne ซึ่งมีตำนาน “ทะเลสาบที่หายไป” จากการที่แม่น้ำไหลมุดลงใต้ดินก่อนจะผุดขึ้นมาอีกครั้งในหุบเขา Maligne Canyon อันน่าทึ่ง และ เกาะสปิริต (Spirit Island) ภาพจำอันโด่งดังที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางผืนน้ำสีคราม

Dark Sky Preserve

ในยามค่ำคืน แจสเปอร์จะเผยอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ในฐานะเขตสงวนท้องฟ้ามืด (Dark Sky Preserve) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักดูดาวและช่างภาพทางช้างเผือก การมาเยือนในช่วงเดือนตุลาคมจะได้พบกับเทศกาล Dark Sky Festival ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมน่าสนใจ แจสเปอร์ยังเป็นบ้านของสัตว์ป่ามากมาย การขับรถไปตามถนน Icefields Parkway ที่เชื่อมต่อระหว่างแจสเปอร์และแบมฟ์ ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในโลก และเปิดโอกาสให้คุณได้พบกับหมีกริซลี กวางเอลก์ หรือแม้แต่หมาป่า


3. อุทยานแห่งชาติโยโฮ (Yoho National Park), บริติชโคลัมเบีย)

ชื่อ “โยโฮ” มาจากภาษาพื้นเมือง Cree ที่แปลว่า “ความทึ่งและความน่าเกรงขาม” ซึ่งสะท้อนความงามของอุทยานแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตื่นตาตื่นใจไปกับ น้ำตก Takakkaw ที่สูงเป็นอันดับสองของแคนาดา ดิ่งลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 373 เมตร และ สะพานหินธรรมชาติ (Natural Bridge) ที่เกิดจากพลังของแม่น้ำ Kicking Horse อันเชี่ยวกราก ชื่อของแม่น้ำสายนี้มาจากเรื่องราวของ James Hector นักสำรวจที่ถูกม้าของเขาเตะจนสลบไประหว่างการสำรวจในศตวรรษที่ 19

นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Burgess Shale แหล่งฟอสซิลยุคแคมเบรียนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ซึ่งเก็บรักษาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตยุคแรกเริ่มไว้อย่างสมบูรณ์ การได้ร่วมทัวร์พร้อมไกด์เพื่อขึ้นไปชมแหล่งฟอสซิลด้วยตาตัวเอง คือประสบการณ์การ เที่ยวแคนาดา ที่ไม่เหมือนใคร เป็นการเดินทางย้อนเวลากลับไปกว่า 500 ล้านปี เพื่อทำความเข้าใจจุดกำเนิดของชีวิตบนโลกใบนี้


มนต์เสน่ห์แห่งแคนาดาฝั่งตะวันตก (Charms of Western Canada)

4. แวนคูเวอร์ (Vancouver), บริติชโคลัมเบีย

มหานครที่ธรรมชาติและเมืองใหญ่หลอมรวมกันอย่างลงตัว แวนคูเวอร์เคยเป็นบ้านของชนเผ่า Musqueam, Squamish และ Tsleil-Waututh มานับหมื่นปี สวนสาธารณะสแตนลีย์ (Stanley Park) ซึ่งเป็นปอดของเมือง ก็เคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของพวกเขามาก่อน การมา เที่ยวแคนาดา ที่แวนคูเวอร์ต้องไม่พลาดการเดินเล่นในย่าน แกสทาวน์ (Gastown) ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของเมือง โดยมี Gassy Jack ผู้ก่อตั้งผับแห่งแรกเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ และนาฬิกาไอน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงส่งเสียงบอกเวลาทุก 15 นาที

เกาะแกรนวิลล์

แวนคูเวอร์เติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากการมาถึงของรถไฟสายแปซิฟิกในปี 1887 กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญและเป็นประตูสู่เอเชีย ปัจจุบันเมืองนี้เป็นที่รู้จักจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมเอเชียที่ผสมผสานกับวิถีชีวิตแบบอเมริกาเหนือได้อย่างลงตัว ลองไปเดินเล่นที่ เกาะแกรนวิลล์ (Granville Island) ซึ่งเคยเป็นย่านอุตสาหกรรม ก่อนจะถูกพลิกโฉมให้กลายเป็นตลาดสดและศูนย์รวมศิลปะที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง


5. วิสต์เลอร์ (Whistler), บริติชโคลัมเบีย

วิสต์เลอร์

สวรรค์ของนักผจญภัยทุกฤดูกาล วิสต์เลอร์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่า Squamish และ Lil’wat พวกเขามีตำนานเล่าขานถึง นกสายฟ้า (Thunderbird) สัตว์ในตำนานอันทรงพลังที่อาศัยอยู่บนยอดเขา Black Tusk และคอยปกป้องผืนดินแห่งนี้ ทุกวันนี้วิสต์เลอร์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะสกีรีสอร์ทระดับโลก และเคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2010 ซึ่งทิ้งมรดกทางกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยไว้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ กระเช้าพีคทูพีค (Peak 2 Peak Gondola) ซึ่งครองสถิติโลกหลายรายการ เป็นการเดินทางข้ามหุบเขาที่น่าตื่นตาตื่นใจ

แต่เสน่ห์ของวิสต์เลอร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฤดูหนาว เมื่อหิมะละลาย ที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของนักปั่นจักรยานเสือภูเขาและนักเดินป่า ด้วยเส้นทางกว่าร้อยเส้นทางที่ท้าทายและสวยงาม หมู่บ้านวิสต์เลอร์ที่ออกแบบมาให้เดินเท้าได้สะดวก เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และแกลเลอรีศิลปะ สร้างบรรยากาศที่คึกคักตลอดทั้งปี


6. เกาะแวนคูเวอร์ (Vancouver Island), บริติชโคลัมเบีย

เกาะขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงรัฐบริติชโคลัมเบียอย่าง เมืองวิกตอเรีย ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษและวัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายที่ยังคงสืบทอดมา แต่เสน่ห์ที่แท้จริงของเกาะนี้คือธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ชายฝั่งตะวันตกของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง โทฟิโน (Tofino) ถูกขนานนามว่า “สุสานแห่งแปซิฟิก” จากเหตุการณ์เรืออับปางในอดีต แต่ปัจจุบันกลายเป็นเมกกะของนักโต้คลื่นและนักดูพายุ

การมา เที่ยวแคนาดา ที่เกาะแห่งนี้ต้องไม่พลาดการไปเยือน สวน Cathedral Grove ที่ซึ่งคุณจะได้เดินท่ามกลางต้นดักลาสเฟอร์ยักษ์ที่มีอายุกว่า 800 ปี หรือไปชมเสาโทเท็มของชนเผ่าพื้นเมืองที่เมืองดันแคน (Duncan) ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เกาะแวนคูเวอร์คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสง่างามแบบโลกเก่าและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกแตะต้อง


7. หุบเขาโอคานากัน (Okanagan Valley), บริติชโคลัมเบีย

หุบเขาโอคานากัน

ดินแดนแห่งแสงแดดและไร่องุ่นแห่งนี้ เป็นบ้านของชนเผ่า Syilx และเป็นที่เล่าขานตำนานของ โอโกโปโก (Ogopogo) สัตว์ประหลาดในตำนานที่เชื่อกันว่าเป็นผู้พิทักษ์แห่ง ทะเลสาบ Okanagan แม้จะมีผู้รายงานการพบเห็นหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของมัน ปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้คือแหล่งผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของแคนาดา ด้วยสภาพอากาศแบบกึ่งแห้งแล้งที่ไม่เหมือนที่ใดในประเทศ หากคุณเป็นคอไวน์และกำลัง เที่ยวแคนาดา ที่นี่คือจุดหมายที่ไม่ควรพลาด ลองเช่าจักรยานแล้วปั่นไปตามเส้นทาง Kettle Valley Rail Trail ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟเก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นเส้นทางจักรยานชมวิวไร่องุ่นและทะเลสาบ


8. ยูคอน (Yukon)

ยูคอน

ดินแดนทางเหนือสุดขอบแห่งนี้คือฉากหลังของยุคตื่นทองคลอนไดค์ในปี 1896 ที่ดึงดูดนักแสวงโชคจากทั่วโลกให้เดินทางข้าม เส้นทาง Chilkoot Trail อันโหดร้าย เรื่องราวของพวกเขาถูกบันทึกไว้ในบทกวีของ “กวีแห่งยูคอน” โรเบิร์ต เซอร์วิส (Robert Service) ซึ่งกระท่อมของเขายังคงตั้งอยู่ที่เมืองดอว์สัน (Dawson City) แต่ไฮไลท์สำคัญของการมาเยือนยูคอนคือการเฝ้ารอชม แสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่เริงระบำอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองเชื่อว่าคือวิญญาณของบรรพบุรุษที่กำลังเต้นรำ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์สุดพิเศษของการ เที่ยวแคนาดา ที่จะตราตรึงในใจไปตลอดกาล


ความยิ่งใหญ่ของภาคกลางและตะวันออก (The Greatness of Central & Eastern Canada)

9. น้ำตกไนแอการา (Niagara Falls), รัฐออนแทรีโอ

น้ำตกไนแอการา

หนึ่งในน้ำตกที่ทรงพลังและโด่งดังที่สุดในโลก ที่นี่มีตำนานของชนเผ่า Seneca เล่าขานถึง “หญิงสาวแห่งสายหมอก” (Maid of the Mist) นามว่าเลลาวาลา (Lelawala) ที่สละชีวิตเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และกลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งสายน้ำ นอกจากความงามตามธรรมชาติแล้ว ไนแอการายังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สำคัญ ซึ่งเป็นผลงานการบุกเบิกของนิโคลา เทสลา ประวัติศาสตร์ของที่นี่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของนักท้ามฤตยู เช่น แอนนี่ เอ็ดสัน เทย์เลอร์ (Annie Edson Taylor) ครูหญิงคนแรกที่รอดชีวิตจากการเข้าไปอยู่ในถังไม้แล้วลอยลงมาจากน้ำตกในปี 1901


10. โทรอนโต (Toronto), รัฐออนแทรีโอ

มหานครที่ใหญ่และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดของแคนาดา ชื่อ “Toronto” มาจากภาษา Mohawk ที่แปลว่า “ที่ซึ่งต้นไม้หยั่งรากในน้ำ” สัญลักษณ์ของเมืองคือ หอคอยซีเอ็น (CN Tower) ที่สูงตระหง่าน อย่าลืมไปเยือน ย่านโรงกลั่น (Distillery District) ซึ่งเคยเป็นโรงกลั่นวิสกี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ ปราสาทคาซาโลมา (Casa Loma) ปราสาทสไตล์โกธิคสุดอลังการ


11. ออตตาวา (Ottawa), รัฐออนแทรีโอ

เมืองหลวงอันเงียบสงบของแคนาดา แต่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ อาคารรัฐสภา (Parliament Hill) คือสถาปัตยกรรมอันงดงามที่ต้องไปเยือน ในฤดูหนาว คลองริโด (Rideau Canal) ซึ่งเป็นมรดกโลก จะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในโลก เป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับผู้ที่มา เที่ยวแคนาดา ในช่วงฤดูหนาว และในฤดูใบไม้ผลิ เมืองจะเต็มไปด้วยดอกทิวลิปนับล้านจากเทศกาล Canadian Tulip Festival ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงมิตรภาพระหว่างแคนาดาและเนเธอร์แลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2


12. อุทยานแห่งชาติอัลกอนควิน (Algonquin Provincial Park), รัฐออนแทรีโอ

อุทยานแห่งชาติอัลกอนควิน

สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ ที่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ กลุ่มศิลปิน Group of Seven จิตรกรภูมิทัศน์ชื่อดังของแคนาดา โดยเฉพาะ ทอม ทอมสัน (Tom Thomson) ผู้เสียชีวิตอย่างปริศนาในทะเลสาบของอุทยานแห่งนี้และกลายเป็นตำนานที่เล่าขานสืบมา ในฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่จะงดงามเป็นพิเศษด้วยสีสันของใบเมเปิล และหากโชคดี คุณอาจได้ยินเสียงหมาป่าหอนในยามค่ำคืนระหว่างเข้าร่วมกิจกรรม Wolf Howl ที่จัดขึ้นโดยอุทยาน


13. มอนทรีออล (Montreal), ควิเบก

มอนทรีออล

เมืองที่ผสมผสานเสน่ห์แบบยุโรปเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกาเหนือได้อย่างลงตัว ย่านเมืองเก่า (Old Montreal) ที่มีถนนปูด้วยหินจะพาคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต เยี่ยมชม มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame Basilica) อันงดงามตระการตา ในช่วงฤดูหนาว คุณสามารถสำรวจ เมืองใต้ดิน (Underground City หรือ RESO) ซึ่งเป็นเครือข่ายทางเดินเชื่อมต่ออาคารและสถานีรถไฟใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่มีชื่อเสียงด้านเทศกาลระดับโลกและอาหารที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง พูทีน (Poutine) และเบเกิลสไตล์มอนทรีออล


14. นครควิเบก (Quebec City), ควิเบก

เมืองมรดกโลกที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบเพียงแห่งเดียวในอเมริกาเหนือ สัญลักษณ์ของเมืองคือ โรงแรมชาโตฟรอนเทแนค (Chateau Frontenac) ที่มีตำนานรักน่าเศร้าของ “เจ้าสาวผี” ซึ่งเชื่อกันว่าวิญญาณของเธอยังคงวนเวียนรอคอยคนรักที่เสียชีวิตในสงคราม การ เที่ยวแคนาดา จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้มาเยือนเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งนี้ ลองเดินเล่นบนกำแพงเมืองและที่ราบอับราฮัม (Plains of Abraham) ซึ่งเป็นสมรภูมิรบครั้งสำคัญระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส


15. คาบสมุทรแกสเป (Gaspé Peninsula), ควิเบก

ณ ปลายสุดของควิเบก ที่นี่เป็นที่ตั้งของ หินเพอร์เซ (Percé Rock) ที่มีตำนานของเทพกลูสแคป (Glooscap) แห่งชนเผ่า Mi’kmaq ซึ่งสาปยักษ์ให้กลายเป็นหิน และยังมีเรื่องเล่าขานถึง “เรือผีแห่งอ่าวชาเลอร์” (Phantom Ship of Chaleur Bay) เรือใบที่ลุกเป็นไฟซึ่งจะปรากฏขึ้นในคืนที่มีพายุ ไม่ไกลกันคือเกาะโบนาเวนเจอร์ (Bonaventure Island) แหล่งทำรังของนกแกนเน็ต (Northern Gannet) ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ


มนตราแห่งชายฝั่งแอตแลนติก (The Magic of the Atlantic Coast)

16. แฮลิแฟกซ์ (Halifax), รัฐโนวาสโกเชีย

แฮลิแฟกซ์

เมืองท่าที่มีประวัติศาสตร์ทางทะเลอันยาวนาน แฮลิแฟกซ์เคยเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่จากเหตุการณ์ “ระเบิดที่แฮลิแฟกซ์” ในปี 1917 และยังเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญในการกู้ภัยเรือไททานิค สุสานแฟร์วิว ลอว์น (Fairview Lawn Cemetery) คือที่พำนักสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากไททานิคจำนวนมากที่สุดในโลก


17. เพ็กกี้ส์โคฟ (Peggy’s Cove), รัฐโนวาสโกเชีย

เพ็กกี้ส์โคฟ

หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่งดงามราวกับภาพวาด มีตำนานเล่าถึง “เพ็กกี้” เด็กหญิงผู้รอดชีวิตจากเหตุเรืออับปางและกลายเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน ประภาคารสีขาวแดงบนโขดหินแกรนิตคือภาพจำอันเป็นเอกลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวผู้มา เที่ยวแคนาดา ต้องมาเยือน แต่ต้องระมัดระวังคลื่นลมแรงบริเวณ “โขดหินสีดำ” ที่เคยเกิดอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้ง


18. คาบ็อตเทรล (Cabot Trail), รัฐโนวาสโกเชีย

คาบ็อตเทรล

เส้นทางขับรถชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกบนเกาะเคปเบรตัน (Cape Breton Island) ที่นี่เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาวสก็อตที่อพยพมาตั้งถิ่นฐาน และยังคงรักษาภาษาและดนตรีเคลติก (Celtic) ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ทิวทัศน์ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกตลอดเส้นทางจะทำให้คุณลืมหายใจ อย่าลืมแวะเดินป่าบนเส้นทาง Skyline Trail เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง


19. อ่าวฟันดี (Bay of Fundy), นิวบรันสวิก

อ่าวฟันดี

สัมผัสพลังของธรรมชาติที่อ่าวฟันดี ซึ่งมีปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แตกต่างกันมากที่สุดในโลกถึง 16 เมตร ตำนานของชนเผ่า Mi’kmaq เล่าว่าเป็นฝีมือของวาฬยักษ์ที่กวนน้ำในอ่าวตามคำสั่งของเทพกลูสแคป (Glooscap) อย่าพลาดการเดินชม โขดหินโฮปเวลล์ (Hopewell Rocks) ที่เผยให้เห็นพื้นมหาสมุทรในช่วงน้ำลง และลองสัมผัสประสบการณ์ล่องเรือ Tidal Bore Rafting ที่น่าตื่นเต้น


20. อุทยานแห่งชาติกรอสมอร์น (Gros Morne National Park), รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์

อุทยานแห่งชาติกรอสมอร์น

ปิดท้ายการเดินทาง เที่ยวแคนาดา ที่อุทยานมรดกโลกแห่งนี้ ที่ซึ่งคุณสามารถเดินบนแผ่นเปลือกโลกชั้นใน (Earth’s Mantle) ได้ที่บริเวณ เทเบิลแลนด์ส (Tablelands) ภูมิประเทศแปลกตาสีน้ำตาลแดงที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก นอกจากนี้ ใกล้กันยังเป็นที่ตั้งของ L’Anse aux Meadows แหล่งตั้งถิ่นฐานของชาวไวกิ้งแห่งแรกในอเมริกาเหนือ และล่องเรือชม Western Brook Pond ฟยอร์ดน้ำจืดที่ถูกตัดขาดจากทะเล

การ เที่ยวแคนาดา คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ตั้งแต่ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ไปจนถึงประวัติศาสตร์และตำนานที่น่าค้นหา เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณออกไปสัมผัส “มนต์สะกดแห่งแคนาดา” ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้ว่าดินแดนแห่งนี้มีอะไรมากกว่าที่คุณเคยจินตนาการ

Visited 41 times, 1 visit(s) today